วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ล้างผลไม้ให้ปลอดสารพิษ

1. ล้างด้วยน้ำโซดาไบคาร์บอเนตเจือจาง เตรียมผงโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 20 ลิตร แช่ผลไม้ให้ท่วมนาน 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลาย ๆ ครั้ง ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 90 แต่วิตามินเออาจจะสูญเสียไปบ้าง
2. แช่ผลไม้ให้ท่วมด้วยน้ำคลอรีน ใช้ผงปูนคลอรีนครึ่งช้อนชาละลายในน้ำ 20 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าหลาย ๆ ครั้ง จะฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้ด้วย เป็นวิธีที่ดีมาก ลดปริมาณสารพิษได้ดีด้วย
3. การใช้น้ำก๊อกไหลผ่านผลไม้พร้อมกับใช้มือถูทำความสะอาดประมาณ 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 54-63
4. การแช่ผลไม้ลงในน้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้เพียงร้อยละ 7-8 หากนำพวงองุ่นมาล้างด้วยวิธีนี้จะมียาฆ่าแมลงตกค้างอยู่มาก เวลาไปดื่มน้ำผลไม้ที่ขายอยู่ทั่วไป อย่างเช่นน้ำปั่น ควรสังเกตดูว่าผลไม้ที่เขาเตรียมปั่นสะอาดแค่ไหน มีคราบสกปรกให้เห็นโดยส่วนใหญ่ใช่หรือไม่
5. ผลไม้มีเปลือก เช่น มังคุด เงาะ มะม่วง มะละกอ แอปเปิล จะว่าไปแล้วผลไม้ก็มีเปลือกทั้งนั้นแล้วแต่ว่าจะหนาหรือบาง ควรล้างเปลือกเสียก่อนที่จะปอกกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ติดไปตามรอยมีดจะเข้าไปในเนื้อผลไม้ และมือที่หยิบไปในแต่ละครั้งจะพาเชื้อโรคและสารพิษต่าง ๆ ติดไปด้วย



ที่มา : หนังสือ คุณค่านานาผลไม้   ของ  ศิริลักษณ์  

วิตามิน VS แร่ธาตุต้านโรค

      วิตามินและแร่ธาตุเป็นกลุ่มสารอาหารรองที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เช่น
- วิตามินเอ  จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน พบในน้ำมันตับปลา ตับ แครอท มันเทศ
- วิตามินบี ประกอบด้วยกลุ่มวิตามินบี 1 บี2 บี3 บี5 บี6 กรดโฟลิก และบี 12 วิตามินช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท กระตุ้นการไหลเวียนเลือด พบในยีสต์ ปลา ไข่ นม ผักใบเขียว ธัญพืชเต็มเมล็ด
- วิตามินซี ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวหนัง กระดูกและข้อแข็งแรง ช่วยสร้างเม็ดเลือด และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น วิตามินซีพบมากในผักผลไม้สด
- วิตามินดี  ควบคุมการดูดซึมแคลเซียม ร่างกายเรารับวิตามินดีได้อย่างเพียงพอจากแสงแดด แต่ก็ควรเป็นแดดในยามเช้า เพื่อหลีกเลี่ยงรังสีอัลตราไวโอเลต
- แคลเซียม ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และรักษากลุ่มอาการในวัยทอง พบในปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง
- ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับสตรีมีครรภ์ ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ความจำดี พบในเนื้อหมู เนื้อวัว เครื่องในสัตว์
- แมกนีเซียม ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ หอบหืด ลดความอ่อนเพลีย พบในธัญพืช ผักใบเขียว อาหารทะเล


ที่มา : จากหนังสือ สุขภาพดี ราศีจับ (คู่มือโหราศาสตร์และสุขภาพกับ MK)

แค่ถ่ายเบา ก็ต้องเอาใจใส

ในแต่ละวันเราจะถ่ายปัสสาวะประมาณ 4-6 ครั้ง (ประมาณ 1 ลิตร) ปัสสาวะที่ถูกขับออกมาสามารถบอกถึงสุขภาพเบื้องต้นของตัวเองได้ เช่น
1.ปัสสาวะมีเลือดปนหรือมีสีแดง  อาจเกิดจากการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ไตหรือกระเพาะปัสสาวะได้รับความกระทบกระเทือน
2.ปัสสาวะขุ่นและมีฟองมาก  แสดงว่าในน้ำมีโปรตีนปนออกมา บ่งบอกว่าไตเสื่อมประสิทธิภาพ
3.ปัสสาวะบ่อย  แต่ละครั้งไม่มาก รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ อาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น กลั้นปัสสาวะนาน กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ หรือดื่มน้ำน้อย
4.ปัสสาวะมีมดตอม พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
5.ปัสสาวะมีสีเข้ม  อาจเป็นเพราะดื่มน้ำน้อย หรือเป็นดีซ่าน
บางครั้งความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการถ่ายปัสสาวะอาจแก้ไขได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน

ที่มา : จากหนังสือ สุขภาพดี ราศีจับ (คู่มือโหราศาสตร์และสุขภาพกับ MK)

อากาศดี ร่างกายแข็งแรง

สภาวะแวดล้อมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมลพิษ อาจทำให้การหายใจนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ดังนั้นหากมีโอกาส เราควรจัดสถานที่หรือสภาพแวดล้อมในบ้านหรือที่ทำงานให้มีสภาวะอากาศที่ดี เพื่อการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปอดและร่างกายแข็งแรง
-                    เปิดหน้าต่างให้อากาศหมุนเวียนถ่ายเทได้สะดวกทุกวัน
-                   ควรติดพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำและห้องครัว เพื่อระบายกลิ่นและความอับชื้น
-                   ปลูกต้นไม้ไว้ในบริเวณบ้าน เพราะต้นไม้คือเครื่องฟอกอากาศธรรมชาติชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะต้นโกสน ดาวเรือง ตีนตุ๊กแก พลูด่าง  สาวน้อยประแป้ง  เศรษฐีเรือนใน  ล้วนเป็นต้นไม้ที่ช่วยลดมลพิษทั้งสิ้น
-                   หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุสังเคราะห์ หรือผ้าใยสังเคราะห์ในการตกแต่งบ้านหรือหุ้มเครื่องเรือน เพราะผ้าหรือวัสดุเหล่านี้จะทำให้ประจุบวกและประจุลบในอากาศเสียสมดุล
-                   ควรตรวจอุปกรณ์หุงต้มหรือเครื่องใช้ที่ใช้แก๊สอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของคาร์บอนมอนอกไซด์  ซึ่งเป็นพิษต่ออากาศ
-                   ไม่ควรเผาขยะหรือหญ้า ควรแยกกำจัดขยะที่มีส่วนประกอบของเคมี เช่น ถ่ายไฟฉาย แบตเตอรี่ ยารักษาโรคที่หมดอายุ สเปรย์ต่าง ๆ

ที่มา : จากหนังสือ สุขภาพดี ราศีจับ (คู่มือโหราศาสตร์และสุขภาพกับ MK) 

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

โคคา-โคลา

คุณรู้หรือไม่ โคคา-โคลา หรือ โค้ก เนี่ยมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่นานค่ะ แค่ ปี 2429 นี่เอง ใครเป็นผู้คนพบกันนะ เจ้าโคคา เนี่ย 


จอห์น เพ็มเบอร์ตัน

ผู้คิดค้นเครื่องดื่ม โคคา โคลา คือเภสัชกรชื่อ ดร.จอห์น เพ็มเบอร์ตัน ที่เมืองแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2429 หรือ 125 ปีที่แล้ว โดยดร.เพ็มเบอร์ตันปรุงหัวเชื้อน้ำหวานในหม้อทองเหลืองสามขาซึ่งตั้งอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านของเขาได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่า "โคคาไวน์ฝรั่งเศสของเพ็มเบอร์ตัน" เพราะได้แรงบันดาลใจจาก "แวง มาริอานี" หรือ ไวน์โคคา ของยุโรป 

ในวันเดียวกัน ดร.เพ็มเบอร์ตันนำไวน์ไร้แอลกอฮอล์ไปขายที่ร้านขายยาจาค็อปในเมืองแอตแลนต้าเป็นครั้งแรก ราคา 5 เซ็นต์ โดยรินน้ำดำชนิดนี้ให้คนไข้ดื่ม 
สูตรต้นตำรับ

ปรากฏว่าได้รับความนิยมเพราะในขณะนั้นชาวบ้านเชื่อว่าน้ำชนิดนี้ดีต่อสุขภาพเพราะดร.เพ็มเบอร์ตันอ้างว่ารักษาโรคได้หลายชนิด เช่น รักษาอาการติดมอร์ฟีน อาหารไม่ย่อย อ่อน เพลีย ปวดศีรษะ รวมทั้งเสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศ

ดร.เพ็มเบอร์ตันไม่คิดว่าเครื่องดื่มนี้จะกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตแบบถล่มทลาย เพราะในช่วงปีแรกโคคา-โคลาขายได้ประมาณวันละ 9 แก้ว จึงขายหุ้นให้กับ อาซา เกร็กส์ แคนด์เลอร์ ในปี 2430 ในปีเดียวกันนั้นเองดร.เพ็มเบอร์ตันติดมอร์ฟีนอย่างหนักจึงขายหุ้นให้กับนักธุรกิจอื่นๆ อีก 4 คน แต่ต่อมานายแคนด์เลอร์ก็กว้านซื้อหุ้นคืนมาทั้งหมดและเป็นเจ้าของกิจการ โคคา-โคลา เพียงผู้เดียว 

ในปี 2435 นายแคนด์เลอร์ก่อตั้งบริษัทที่สอง คือ บริษัท โคคา-โคลา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ถึงทุกวันนี้ 
โฆษณา ราคา 5 เซนต์

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับก้าวแรกของโคคา-โคลาในเว็บไซต์ coke-world.exteen.com บอกว่า ที่มาของชื่อ "Coca-Cola" เกิดจากนายแฟรงก์ เอ็ม. โรบินสัน หุ้นส่วนและสมุหบัญชีของดร.เพ็มเบอร์ตันเสนอความเห็นว่า "ถ้าใช้ตัวอักษร C สองตัว ในโฆษณาเครื่องดื่มชนิดนี้น่าจะเข้าท่าดี" เขาจึงแนะให้ตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า "Coca-Cola" และนายโรบินสันเขียนคำว่าโคคา-โคลาด้วยลายมือของเขาเอง ซึ่งต่อมากลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก 

สำหรับสูตรต้นตำรับของโคคา-โคลาของแท้เก็บรักษาไว้อย่างดี โดยเพื่อนของดร.เพ็มเบอร์ตันเขียนด้วยลายมือแล้วส่งต่อให้ลูกหลานรุ่นต่อรุ่นโดยเก็บรักษาไว้ที่ตู้นิรภัยของธนาคารยู.เอส. ซึ่งมีพนักงานบริษัทโคคา-โคลา เพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรที่แท้จริง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป 125 ปีสูตรดังกล่าวได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเว็บไซต์ Thisamericanlife.org นำสูตร โคคา-โคลา ต้นฉบับมาจากหนังสือพิมพ์ แอตแลนต้า เจอร์นัล-คอนสติติวชั่น ฉบับวันที่ 28 ก.พ.2522 มาเผยแพร่ หลังจากสูตรดังกล่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว แต่ไม่ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์สักเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยมีคนรู้

ด้านนายมาร์ก เพนเดอร์กราสต์ ผู้เขียนประวัติเครื่องดื่ม โคคา-โคลา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ของอังกฤษโดยเชื่อว่าเอกสารชิ้นนี้เป็นของแท้แน่นอน

ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakkwTURJMU5BPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE1TMHdNaTB5TkE9PQ==

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7364 ข่าวสดรายวัน


ทำไมไม่มีแมวในนักษัตร

ทำไมไม่มีแมวในนักษัตร นั่นนะสิทำไม ทั้งๆที่เจ้าแมวมันก็เป็นสัตว์ที่น่ารัก ชนิดหนึ่ง และน่ารักมากๆด้วยสิ  น้าชาติ รู้ไปโม้ด อีกนั่นแหละ เล่าไว้ในข่าวสด ก็เลยหยิบมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่ามีคนสงสัย เหมือนกัน มาอ่านกันค่ะ

               




                    คำว่า "นักษัตร" หมายถึง ชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ โดยกำหนดสัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายในแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู ฉลู-วัว ขาล-เสือ เถาะ-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ (จีนคือมังกร) มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้า มะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-สุนัข และ กุน-หมู

ส่วนประวัติตำนานการใช้สัตว์เป็นชื่อปีเป็นเรื่องที่หาหลักฐานได้ยาก แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละชนชาติ
ตำนานของชาวไทยลื้อเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 นางของพระพรหมซึ่งก็ คือนางสงกรานต์มีหน้าที่เชิญพานที่รองรับเศียรพระพรหมออกแห่ในวันสงกรานต์ทุกปี โดยผลัดกันปีละนาง นางเหล่านี้มีพาหนะต่างกัน นางหนึ่งขี่หนู นางหนึ่งขี่วัว นางหนึ่งขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญา นาค ขี่งู ขี่ม้า ขี่แพะ ขี่ลิง ขี่ไก่ ขี่สุนัข ขี่หมู ไปตามลำดับ ตามตำนานกล่าวว่าชาวไทยลื้อได้เอาพาหนะที่นางทั้งสิบสองขี่นี่แหละมาใช้เรียกชื่อปี


บางตำนานเล่าว่า ตำนานแห่งปีนักษัตรเริ่มต้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเชิญสัตว์ต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยงก่อนที่พระองค์จะละสังขารไปจากโลกนี้ และหากสัตว์ใดมาถึงงานเลี้ยงได้ 12 ตัวแรก จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสัญลักษณ์ของปีนักษัตรทั้ง 12 ปี

ปรากฏว่าสัตว์ทั้งหลายต่างเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่เพราะต้องการไปให้ถึงงานเลี้ยงเป็นตัวแรก เพื่อจะได้รับเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของปีเริ่มต้นของปีนักษัตร ในบรรดาสัตว์มากมายนั้นมีเจ้าหนูตัวกระจ้อยร่อยรวมอยู่ด้วย ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสัตว์เล็กๆ แต่มันก็ใฝ่ฝันทะเยอทะยาน เจ้าหนูกระโดดเกาะหางวัวใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าผ่านหน้ามันไป และแซงหน้าสัตว์อื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย เจ้าหนูน้อยกลับกระโดดแผล็ววิ่งไปบนหลังวัวหนุ่มและถีบตัวเองลอยละลิ่วเข้าสู่เส้นชัยเป็นตัวแรกได้สำเร็จ ท่ามกลางความงงงวยของสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

หลายคนสงสัยว่าทำไมปี นักษัตรถึงไม่มีแมว หลายตำนานพยายามอธิบายโดยรวมเอาเหตุการณ์ที่แมวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหนูมาโยงเป็นเรื่องราว มักเริ่มต้นที่เทพเจ้าเรียกประชุมสัตว์เพื่อตั้งเป็นชื่อปี แล้วแมวจำวันที่ประชุมไม่ได้จึงไปถามหนู หนูหลอกแมวให้ไปช้ากว่ากำหนด แมวจึงไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ชื่อปี

บางความเชื่อบอกว่า การเดินทางมาประ ชุมนั้นต้องว่ายน้ำไป แล้วแมวกับหนูเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เก่งทั้งคู่ จึงเกาะหลังวัวที่ว่ายน้ำเก่งไป เมื่อใกล้ถึงที่หมายหนูก็ผลักแมวตกน้ำ แมวถูกกระแสน้ำพัดไปจึงมาไม่ทันกำหนด นับแต่นั้นมาแมวจึงโกรธแค้นหนูมากและต้องวิ่งไล่ทุกครั้งที่เจอหนู

ฝ่ายนักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นเพราะแมวเป็นสัตว์ในทะเลทราย ชาวจีนดั้งเดิมจึงไม่เคยเห็นและไม่รู้จักแมวมาก่อน จึงไม่ได้นำสัตว์ชนิดนี้มาตั้งเป็นชื่อปีอย่างสัตว์อื่นๆ

แต่ที่ประเทศเวียดนามใช้สัญลักษณ์รูปแมวเป็นปีเถาะ ไม่ใช่กระต่ายอย่างเรา


ที่มา 
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakl3TURVMU5BPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE1TMHdOUzB5TUE9PQ

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7480 ข่าวสดรายวัน

เค้กแต่งงาน

เก็บมาจาก ข่าวสด ของน้าชาติ อ่านเจอเขาเล่าถึง เค้กแต่งงาน ประวัติความเป็นมา ของเค้กแต่งงาน เผื่อว่าใครจะแต่งงานแล้วอยากรู้ประวัติ ของเค้กสวยๆ

                                  

 "เค้กแต่งงาน" เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ในสมัยโรมัน ในยุคนั้นไม่มีการทำเค้กอลังการตามแบบที่เห็นกันในปัจจุบัน ผู้ร่วมงานจะบิขนม ปังออกเหนือศีรษะ ตามความเชื่อที่ว่าจะนำโชคมาให้คู่บ่าวสาวใหม่ บางครั้งก็จะโปรยบนศีรษะของเจ้าสาวด้วย แต่โดยปกติแล้วจะทำบนศีรษะของเจ้าบ่าวเป็นส่วนใหญ่ โดยเค้กจะวางบนพื้น แทนความโชคดีและอุดมสมบูรณ์ บางครั้งก็หมายถึงความโชคดีของแขกที่มาในงานแต่งงาน

ในยุคกลาง เค้กแต่งงานค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงบิสกิตกับ ขนมสโคน แขกที่มางานจะนำเค้กก้อนเล็กๆ มามอบให้คู่บ่าวสาว และเมื่อมากเข้าก็นำมาวางเรียงสูงขึ้นๆ โดยที่คู่บ่าวสาวจะต้องจูบกันเหนือกองตั้งเค้กกองนั้น ตามความเชื่อที่ว่าจะนำความโชคดีให้กับชีวิตสมรสใหม่ของทั้งคู่

ต่อมาในคริสตŒศตวรรษที่ 17 เป็นจุดเริ่มต้นของเค้กแต่งงาน รูปแบบใหม่ที่หน้าตาคล้ายกับเค้กแต่งงานในปัจจุบัน เนื่องจากช่างทำขนมปังชาวฝรั่งเศสอบขนมปังเป็นก้อนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง และยังนิยมวางเค้กเป็นชั้นๆ ตกแต่งหน้าเค้กด้วยน้ำตาล

เค้กแต่งงานส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ เรียงเป็นชั้นๆ ตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยครีมและน้ำตาลแต่งหน้าเค้ก ส่วนยอดของขนมเค้กนั้นมักประดับด้วยตุ๊กตาแทนตัวบ่าวสาว หรืออาจใช้เป็นรูปนก รูปแหวนทอง หรือรูปเกือกม้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับคู่บ่าวสาว

เนื้อเค้กแต่งงานที่ดีจะต้องมีเนื้อแน่นเพื่อรองรับน้ำหนักของชั้นเค้กที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ที่สำคัญยังต้องรับประทานได้และอร่อยด้วย ซึ่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ของพ่อครัวเป็นสำคัญ

การตัดเค้กมีขั้นตอน เจ้าสาวจะตัดเค้กสองชิ้นแรกโดยเจ้าบ่าววางมือของเขาบนมือเจ้าสาว จากนั้นเจ้าบ่าวจะป้อนเค้กชิ้นแรกให้เจ้าสาว และเจ้าสาวจะป้อนเค้กชิ้นที่สองให้เจ้าบ่าว เป็นการสื่อว่าทั้งคู่จะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

หลังตัดเค้กแต่งงานเป็น ชิ้นๆแล้ว ฝ่ายบ่าวสาวจะแบ่งเค้กเหล่านั้นให้ผู้ที่มาร่วมพิธีได้รับประทานกัน ซึ่งอาจจะรับประทานเลยหรือนำกลับบ้านไปฝากบุคคลที่ไม่ได้มาร่วมงานก็ได้

ในประเพณีโบราณ เชื่อว่าหากเพื่อนเจ้าสาวคนไหนอยากฝันเห็นเนื้อคู่ของตนในอนาคต ให้นำเค้กแต่งงานไปไว้ใต้หมอนหรือข้างหมอนแล้วนอนหลับ สาวคนนั้นจะฝันเห็นคู่ชีวิตของตน

เค้กแต่งงานบางส่วนจะเก็บรักษาไว้รับประทานในวันฉลองครบรอบแต่งงานในปีถัดๆ ไป บางส่วนใช้ฉลองในวันที่คลอดลูกคนแรก แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ในพิธีตั้งชื่อบุตรตามหลักคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะเก็บชั้นบนสุดของเค้กที่มักจะตกแต่งด้วย ผลไม้ซึ่งสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานด้วยการแช่แข็ง


ขอบคุณภาพประกอบจาก sanook.com และ most.go.th

ที่มา  http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakExTURVMU5BPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE1TMHdOUzB3TlE9PQ==

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7477 ข่าวสดรายวัน

ไรฝุ่น

คุณรู้จัก ไรฝุ่นกันไหม ไรฝุ่นคืออะไร มีพิษภัยกับเราหรือไม่ ลองมาอ่านกันค่ะว่า เจ้าไรฝุ่นเนี่ย มันเป็นพิษกับเราแค่ไหน มีวิธีป้องกันรักษาหรือเปล่า เพื่อนไปอ่านเจอในหนังสือสวดมนต์ ก็เลยเก็บมาฝากกัน ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ ในหนังสือสวดมนต์จริง ๆ ทุกวันนี้ หนังสือสวดมนต์ไม่ได้มีเพียงแค่บทสวดมนต์หรือมีแต่ธรรมะ ล้วนๆอีกแล้ว ในหลายๆเล่มมีอะไรสอดแทรกในเล่มมากมาย หยิบมาเพียง หนึ่งอาจได้มากกว่านั้น  มาลองอ่านกันค่ะว่า เจ้า ไรฝุ่นน่ะมันทำอะไร
                 
              
  ในอากาศจะมีละอองไรฝุ่น ละอองฝุ่นจะมีตัวไรฝุ่นเกาะติดอยู่เป็นจำนวนมาก  ลอยตัวอยู่ในอากาศทั่วไป  ล่องลอยมาเกาะติด ที่ไหนส่วนไหนของร่างกาย หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ในห้องนอนในรถ เมื่อเราหายใจเขาก็ติดละอองและไรฝุ่นก็จะติดเข้ามาด้วยหรือติดที่ใบหน้าตัวไรฝุ่นก็จะอาศัยอยู่แล้วกัดกินฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่รูขุมขน และผิวหนังหรือในโพรงจมูก  ในรูหู เมื่อไรฝุ่นกินแล้วก็ต้องขับถ่ายทิ้งไว้ตรงบริเวณที่ไรฝุ่นอาศัยอยู่จะเกิดเป็นเชื้อราอักเสบได้ง่ายถ้าเกิดที่ใบหน้าจะเป็นสิว ถ้าเป็นกับหนังศีรษะก็เป็นเชื้อราที่หนัวศีรษะ ไรฝุ่นจะกินทั่งเลือดและน้ำเหลืองด้วย



วิธีขับไล่ไรฝุ่น
-กินขมิ้นชันแคปซูนในจำนวนมากเป็นประจำ
-กินน้ำมะพร้าววันละ1ลูก(ไม้ต้องกินเนื้อมะพร้าว) เพื่อเพิ่มเอสโตรเจน
-ใช้โลชั่นน้ำมะเฟืองชโลมผิวกาย เพื่อขับถ่ายไรฝุ่นและยังช่วยลบลอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าให้หายไปทีละน้อย



ที่มา จากหนังสือ  บทสวดมนต์ไหว้พระ เคล็ดวิธี….กินอย่างไร?ไร้โรคภัย

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

อย่าเคาะจานข้าวเวลารับประทาอาหาร

เป็นความเชื่อที่งมงายหรือไม่ โดยส่วนตัวคนเขียนแล้ว มีความเชื่อในเรื่องนี้ คนสมัยโบราณมีความคิดที่ชาญฉลาด มีอุบายในการสอนลูกหลานเป็นยิ่งนัก แม้กระทั่งเวลารับประทานข้าวยังมีการห้าม ทำไม่สุภาพ

อย่างเช่น  อย่าเคาะจานข้าวเวลารับประทานอาหาร โดยมีความเชื่อว่า
           เวลารับประทานอาหาร โบราณท่านถือว่า ห้ามเคาะจานข้าว เพราะจะเป็นการเรียกวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว กินอาหารคาวหวาน  บางท่านอาจเคยเห็นบ้างแล้วเวลาเราไหว้ศพ หรือไหว้วันสำคัญ เราจะจัดชุดสำหรับพวกผีไม่มีญาติ และทำพิธิเรียกมากิน โดยใช้การเคาะถ้วยชาม แล้ววางไว้ การเคาะเหมือนการเรียกให้ ผี หรือคนตายได้ยินหรือรับรู้จะได้มากินของเหล่านั้น ดังนั้นผู้ใหญ่จึงถือมาก ห้ามลูกหลานเคาะจานชามเวลากินข้าว


ท่านอ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้าง

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

หอยรากสัตว์ทะเลโบราณสร้างนิเวศน์คือสมดุลสู่ผืนน้ำ


หอยราก ไอ้เราก็คนชนบท พอไปอ่านหนังสือพิมพ์เจอ หอยราก คือสัตว์ทะเลโบราณ หน้าตาก็คล้ายหอยลายน้ำจืดแถวบ้าน นำมาผัดเครื่อง หืม อร่อย

  แต่เจ้าหอยรากเป็นสัตว์ทะเลที่กำเนิดเกิดมานานนักแล้ว นานแค่ไหนมาอ่านกันค่ะ อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จากทความของ เพ็ญพิชญา  เตียว เห็นน่าสนใจ เลยหยิบมาเขียนเล่าสู่ฟัง (อ่าน)

หอยรากสัตว์ทะเลโบราณสร้างนิเวศน์คือสมดุลสู่ผืนน้ำ

จากสภาพแวดล้อมที่อุดมของประเทศไทย  โดยเฉพาะในแถบชายฝั่งทะเลทั้งอันดามันและแถบไทย  ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้ง  กุ้ง  หอย  ปู  ปลา  ดำรงอยู่มาช้านาน  บางชนิดยังมีให้เห็นอยู่บ้างและบางอย่างเริ่มหมิ่นเหม่ต่อการสูญพันธุ์ลงทุกขณะและ  “หอยราก”  เป็นหนึ่งในจำนวนนี้
                “หอยราก” (Lingula  unguis)  หรือหอยปากเป็ด  เป็นสัตว์ทะเลโบราณ  คาดว่าเกิดขืนประมาณ  600 ล้านปี  มีลักษณะคล้ายคลึงกับหอย  2 ฝามาก อาศัยอยู่ในทรายเลน  มีลักษณะโดย  ใช้ราก  ที่มีลักษณะเป็น  ดุ้นเอ็นยาวดูคล้ายหาง  หลั่งลงในทราย  เมื่อถูกรบกวนจะหดตัวมุดลงไปในทรายเลนอย่างรวดเร็ว  หายใจผ่านผิดบาง  ขยายพันธุ์ด้วยการปล่อยไข่และสเปิร์มออกมาผสมกันในทะเล  ตัวอ่อนกลายเป็นแพลงก์ตอนลอยในทะเล  ก่อนลงพื้นเจริญเป็นตัวเต็มวัย
                เมื่อโตเต็มที่  เปลือกจะมีสีเขียวคล้ายหอยแมลงภู่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  2  ชิ้น  ประกบกันตอนท้ายเรียวแหลมเป็นรูปสามเหลี่ยมยึดติดกับราก  ซึ่ง หอยรากหรือบางท้องที่เรียกว่าหอยปากเป็ด  เป็นมัดกล้ามเนื้อหยังลงไปในดิน  ขนาดความยาวของเปลือกประมาณ  3-5 ซม.  มีรากยาวประมาณ  6  ซม.  บริเวณขอบเปลือกเรียงตัวกันเป็นแถว  อาศัยอยู่ตามธรรมชาติจะฝังตัวอยู่ในแนวดิ่ง  ทำให้กาวทั้งสองตั้งขึ้นอยู่ในโคลนดิน
                กาบ  ทำหน้าที่เสมือนเกราะห่อหุ้มอวัยวะภายในจะอ้าออกเล็กน้อยเพื่อให้น้ำไหลผ่านเข้าไป  แล้วกรองเอาแพลงก์ตอนและอินทรีย์วัตถุกินเป็นอาหาร  หากได้รับการรบกวนจากศัตรูมันจะหดรากฝังตัวจมลึกลงไป  กินอาหารโดยการกรองเอาแพลงก์ตอนและตะกอนที่ละลายในน้ำ  ซึ่งทำหน้าที่ช่วยคืนความสมดุลลดปริมาณแพลงก์ตอน  ช่วยให้น้ำไม่เน่าเสียง่าย
                 ปัจจุบันชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งนิยมนำเรือเล็กออกไปงมหอยดังกล่าวตามชายฝั่งซึ่งต้องใช้ความไว  เนื่องจากพวกมันเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็ว  รวมทั้งฟื้นที่ลุ่มชายเลน  เพื่อส่งตามร้านค้าสำหรับนำมาทำเมนูต่าง ๆ  ทั้ง  “เปิบ”  สดและดองไว้กินกันตลอดทั้งปี  ซึ่งสนนราคาขายกันอยู่ที่กิโลฯละ  150-170 บาท
                และ  จากราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูงนี้เอง  ส่งผลให้ปัจจุบันประชากรหอยรากเริ่มหมิ่นเหม่ต่อการสูญพันธุ์ไปจากชายทะเลไทย 
        

โรคอ้วนก่อพิษภัยให้คนวัยปลาย ช่วยเร่งให้สมองเสื่อมเร็วหนักขึ้น

วันนี้บังเอิญว่ามีเวลาว่างช่วงเช้านิดหน่อย มีโอกาสได้หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ซึ่งเป็นฉบับตั้งแต่เดือนที่แล้ว เห็นว่าน่าสนใจ และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชนืพอสมควร ก็เลยหยิบบทความนั้นมาเขียนให้ได้อ่านกัน เผื่อว่าใครยังไม่ได้อ่าน เกี่ยวกับโรคอ้วน มาอ่านกันเลยดีกว่า

 โรคอ้วนก่อพิษภัยให้คนวัยปลาย ช่วยเร่งให้สมองเสื่อมเร็วหนักขึ้น  





              นักวิจัยกล่าวเตือนว่า การปล่อยตัวให้อ้วนช่วงตอนปลายของชีวิต เป็นการเร่งให้สมองเสื่อมเร็วหนักขึ้น
               วารสาร “ อายุและความแก่ชรา “  ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษา  ทำกับผู้สูงอายุวัยระหว่าง  60-7 ปี  ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์  ด้วยการให้ทดสอบสมรรถภาพทางสมอง  ล้วนปรากฏผลว่า  ได้คะแนนต่ำตาม ๆ กัน
                นักวิจัยของสมาคมผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมแห่งเกาหลีใต้  แสดงความเห็นว่า  เท่ากับเป็นการแสดงว่าไขมันในร่างกายมาก ๆ อาจจะไปถ่วงการทำงานของสมองลงได้
                หัวหน้านักวิจัยได้กล่าวว่า  “ผลการค้นพบของเราจะเป็นการเตือนคนทั่วไปว่าควรจะป้องกันโรคอ้วน  โดยเฉพาะความอ้วนตรงแถบส่วนกลางของลำตัว   เพื่อป้องกันสมองเสื่อม”
                โฆษกสมาคมผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมแห่งอังกฤษก็ให้ความเห็นว่า  “ เราเคยแต่ได้ยินว่าความอ้วนทำให้เป็นโรคหัวใจได้  แต่การวิจัยหนนี้ส่อว่ามันเป็นภัยแก่สมองอีกด้วย”


(ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับเมื่อวันอังคาร ที่ 27 มีนาคม 2555 )


Satiti.com ฟรีสถิติ โค้ดสถิติ สถิติเว็บไซต์ ตัวอย่างสถิติ  เว็บสถิติ จัดอันดับเว็บไซต์ ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซต์อุปกรณ์กล้องถ่ายรูป ,Battery กล้อง สายลั่นชัตเตอร์ cpl star hood Macro tube  ,canon,nikon